สมรภูมิแย่งชิงบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างบริษัทเทคยักษ์ใหญ่กำลังร้อนระอุขึ้นทุกขณะ เมื่อล่าสุด แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ได้ออกมาเปิดเผยว่า Meta กำลังใช้กลยุทธ์เชิงรุกอย่างหนักเพื่อดึงตัววิศวกรระดับหัวกะทิของบริษัท ด้วยข้อเสนอค่าตอบแทนและโบนัสแรกเข้าที่สูงจนน่าตกใจ

อัลต์แมนกล่าวในรายการพอดแคสต์ Sam Altman | The Future of AI ว่า Meta ได้ยื่น “ข้อเสนอมหาศาลให้กับทีมงานของเราหลายคน” ซึ่งบางข้อเสนอมีมูลค่าสูงถึง “โบนัสแรกเข้า (Signing Bonus) 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และค่าตอบแทนต่อปีที่สูงกว่านั้นอีก”
นี่คือตัวอย่างล่าสุดที่สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดแรงงาน AI และแสดงให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ยอมทุ่มเทมากเพียงใดเพื่อสรรหาและรักษาบุคลากรระดับมันสมองไว้กับองค์กร
ทำไม Meta ถึงต้องทุ่มสุดตัว?
สถานการณ์ของ Meta ในสมรภูมิ AI ตอนนี้ค่อนข้างกดดัน บริษัทได้สูญเสียนักวิจัย AI ระดับท็อปไปหลายคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และกำลังต่อสู้กับกระแสข่าวที่ว่าบริษัทกำลัง “ตามหลังคู่แข่ง” ในสงคราม AI โดยเฉพาะหลังจากที่โมเดลล่าสุดอย่าง Llama 4 ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างเงียบเหงาจากกลุ่มนักพัฒนา
เหตุการณ์นี้ทำให้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ต้องลงมาคุมเกมด้วยตัวเอง มีรายงานว่าเขาได้ติดต่อทาบทามผู้คนด้วยตนเองเพื่อสร้างทีม AI ใหม่ในชื่อ “Superintelligence” ที่ประกอบด้วยบุคลากร 50 คน นอกจากนี้ Meta ยังได้ลงทุนสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อถือหุ้น 49% ในบริษัทข้อมูลสำหรับฝึก AI อย่าง ScaleAI โดยส่วนหนึ่งของแผนคือการดึงตัว Alexandr Wang ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทดังกล่าวมาร่วมงาน
ผลลัพธ์ของการดึงตัว
แม้ว่าอัลต์แมนจะยืนยันว่าบุคลากรระดับหัวกะทิของเขายังไม่มีใครตอบรับข้อเสนอของซักเคอร์เบิร์ก แต่ Meta ก็ประสบความสำเร็จในการดึงตัวนักวิจัย AI คนสำคัญจากที่อื่นมาร่วมทีมได้
Bloomberg รายงานว่า Meta ได้ตัว Jack Rae นักวิจัยหลักจาก Google DeepMind และ Johan Schalkwyk ผู้นำด้าน Machine Learning จากสตาร์ทอัพ Sesame AI มาร่วมทีมได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า Meta ล้มเหลวในความพยายามที่จะดึงตัว Noam Brown นักวิจัยระดับท็อปของ OpenAI และ Koray Kavukcuoglu สถาปนิก AI ของ Google

ข้อมูลจาก รายงาน State of Talent Report ปี 2025 ของ SignalFire ยังชี้ให้เห็นว่า Meta มีอัตราการรักษาพนักงาน (Retention Rate) อยู่ที่ 64% ซึ่งตามหลังคู่แข่งอย่าง Anthropic สตาร์ทอัพ AI ชื่อดัง ที่มีอัตราการรักษาพนักงานสูงถึง 80% (สำหรับพนักงานที่ทำงานมาอย่างน้อย 2 ปี) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจมากในอุตสาหกรรมที่มีการย้ายงานสูง
สงครามค่าตอบแทนที่ดุเดือดทั่วทั้งวงการ
ข้อเสนอค่าตอบแทนของซักเคอร์เบิร์กนั้นสูงเทียบเท่ากับ “นักกีฬาระดับโลก” ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในวงการ AI ขณะนี้ Deedy Das นักลงทุนจาก Menlo Ventures เคยให้สัมภาษณ์กับ Fortune ว่า ซักเคอร์เบิร์กเคยโทรศัพท์หาผู้สมัครด้วยตนเองพร้อมการันตีรายได้ขั้นต่ำที่ 2 ล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ไม่ใช่แค่ Meta ที่ทุ่มเงินมหาศาล บริษัทอื่นก็ทำเช่นกัน:
- Google DeepMind มีรายงานว่าใช้สัญญาห้ามทำงานกับคู่แข่ง (Non-compete Clause) เป็นระยะเวลา 6-12 เดือน โดยบริษัทยอมจ่ายเงินเดือนเต็มจำนวนให้กับนักวิจัยแม้จะไม่ได้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้ย้ายไปอยู่กับคู่แข่ง
- OpenAI เองก็มีข่าวลือว่าเสนอค่าตอบแทนที่สูงลิ่วเพื่อรั้งตัวพนักงานไว้ โดยนักวิจัยระดับท็อปมีรายได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ต่อปี Reuters รายงานว่าบริษัทได้เสนอโบนัสเพื่อรั้งพนักงานไว้มูลค่ากว่า 2 ล้านดอลลาร์ และแพ็กเกจหุ้นมูลค่าสูงกว่า 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ทีมงานย้ายไปอยู่กับ SSI บริษัทใหม่ของ Ilya Sutskever อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI
ภาพที่ไม่สวยหรูสำหรับเด็กรุ่นใหม่
แม้ว่าบุคลากรระดับหัวกะทิจะได้รับข้อเสนอมหาศาล แต่ภาพรวมสำหรับวิศวกร AI ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ กลับไม่ได้สวยหรูนัก รายงานหลายฉบับรวมถึงของ SignalFire ชี้ให้เห็นว่า ตลาดการจ้างงานสำหรับตำแหน่งระดับเริ่มต้น (Entry-level) ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังหดตัวลงอย่างหนัก ซึ่งเป็นภาพที่สวนทางกับสงครามแย่งชิงตัวบุคลากรระดับท็อปอย่างสิ้นเชิง